การส่งผ่านข้อมูล
การส่งผ่านข้อมูล (Data Transmission) เป็นกระบวนการนำส่งข้อมูลข่าวสารจากฝั่งส่ง ผ่านสื่อกลาง เพื่อส่งออกไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ตามปกติเเล้ว ข่าวสารต่างๆที่ส่งผ่านไปนั้น จำเป็นต้องได้รับการเข้ารหัสให้เป็นสัญญาณในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความทนทานต่อสัญญาณรบกวนเเละมีความปลอดภัยในข้อมูล นอกจากนี้ เรายังสามารถนำส่งข่าวสารได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับรูปแบบเเละทิศทางการส่งข้อมูล เเต่ก่อนที่เราจะเรียนรู้รายละเอียดดังกล่าว เรามาทำความเข้าใจถึวคุณลักษณะสำคัญๆที่เกี่ยวข้องกับการส่งผ่านข้อมูลกันเสียก่อน
เเบนวิดธ์ (Bandwidth)
แบนด์วิชท์ (Bandwidth) หมายถึง ความกว้างของแถบคลื่นความถี่ แบนด์วิชท์เป็นคำที่ใช้วัดความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ต ซึ่งโดยมากเรามักวัดความเร็วของการส่งข้อมูลเป็น bps (bit per second), Mbp (bps*1000000) เช่น แบนด์วิชท์ของการใช้สายโทรศัพท์ในประเทศไทยเท่ากับ 14.4 Kbps แบนด์วิชท์ของการส่งข้อมูลของ KSC ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับอเมริกาเท่ากับ 2 Mbps เป็นต้น เนื่องจากแบนด์วิชท์คือ ความกว้างของแถบคลื่นความถี่ ดังนั้นยิ่งแบนด์วิชท์สูง การรับส่งข้อมูลเข้า-ออก ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพสูงด้วย เช่น การเลือกใช้บริการพื้นที่เว็บไซต์สำเร็จรูปหรือเว็บโฮสติ้ง (Web hosting) หากเป็นไปได้ควรพิจารณาเลือกแบนด์วิชท์แบบไม่จำกัดปริมาณการรับส่งข้อมูล (Unlimited bandwidth) จะเป็นผลดีมากกว่าโดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์เป็นจำนวนมากต่อวัน
นอกจากนั้น แบนด์วิชท์ยังใช้อ้างถึงคุณลักษณะการตอบสนองความถี่ของระบบรับการสื่อสารของสัญญาณทุกประเภท ทั้งแบบแอนะล็อก และแบบดิจิตอล ในระบบดิจิตอลแบนด์วิชท์จะวัดเป็นบิตหรือไบต์ต่อวินาที (bits per second หรือ bps หรือจำนวนบิตต่อวินาที) เช่น โมเด็มซึ่งทำงานที่ 57,600 bps จะมีแบนด์วิชท์เป็น 2 เท่าของโมเด็ม ซึ่งทำงานที่ 28,800 bps ส่วนในระบบแอนะล็อก ความหมายของแบนด์วิชท์ หมายถึง ความแตกต่างระหว่างความถี่สูงสุดและต่ำสุดของสัญญาณ มีหน่วยวัดเป็นเฮิรตซ์ (Hertz หรือรอบต่อวินาที) เช่น สัญญาณเสียงมีแบนด์วิชท์ประมาณ 33 kilohertz (33 KHz) และการกระจายภาพของโทรทัศน์แบบแอนะล็อกใช้สัญญาณวิดีโอซึ่งมีแบนด์วิชท์ประมาณ 6 megahertz (6 MHz)
สัญญาณเเอนะล็อกเเละสัญญาณดิจิทัล (Analog VS Digital Signals)
สัญญาณอนาลอก (Analog Signal) หมายถึงสัญญาณข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuouse Data) มีขนาดของสัญญาณไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป มีลักษณะเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องกันไป โดยการส่งสัญญาณแบบอนาล็อกจะถูกรบกวนให้มีการแปลความหมายผิดพลาดได้ง่าย เช่น สัญญาณเสียงในสายโทรศัพท์ เป็นต้น
สัญญาณดิจิตอล(Digital Signal) หมายถึง สัญญาณที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง(Discrete Data) ที่มีขนาดแน่นอนซึ่งขนาดดังกล่าวอาจกระโดดไปมาระหว่างค่าสองค่า คือ สัญญาณระดับสูงสุดและสัญญาณระดับต่ำสุด ซึ่งสัญญาณดิจิตอลนี้เป็นสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการทำงานและติดต่อสื่อสารกันเป็นค่าของเลขลงตัว โดยปกติมักแทนด้วย ระดับแรงดันที่แสดงสถานะเป็น "0" และ "1" หรืออาจจะมีหลายสถานะ ซึ่งจะกล่าวถึงในเรื่องระบบสื่อสารดิจิตอล มีค่าที่ตั้งไว้ (threshold) เป็นค่าบอกสถานะ ถ้าสูงเกินค่าที่ตั้งไว้สถานะเป็น "1" ถ้าต่ำกว่าค่าที่ตั้งไว้ สถานะเป็น "0" ซึ่งมีข้อดีในการท่าให้เกิดความผิดพลาดน้อยลง
การส่งสัญญาณ Analog และสัญญาณแบบ Digital
1. สัญญาณแบบ Analog จะเป็นสัญญาณแบบต่อเนื่องที่ทุกๆ ค่าเปลี่ยนแปลงไปของระดับสัญญาณจะมีความหมาย การส่งสัญญาณแบบ Analog จะถูกรบกวนให้มีการแปลความหมายผิดพลาดได้ง่ายกว่า เนื่องจาก ค่าทุกค่าถูกนำมาใช้งานนั้นเอง ซึ่งสัญญาณแบบอนาล็อกนี้จะเป็นสัญญาณที่สื่อกลาง ในการสื่อสาร ส่วนมากใช้อยู่ เช่น สัญญาณเสียงในสายโทรศัพท์ เป็นต้น
2. สัญญาณแบบ Digital จะประกอบขึ้นจากระดับสัญญาณเพียง 2 ค่า คือสัญญาณระดับสูงสุดและสัญญาระดับต่ำสุด ดังนั้นจะมีประสิทธิภาพและ ความน่าเชื่อถือสูงกว่าแบบ Analog เนื่องจากมีการใช้งานเพียง 2 ค่าเพื่อน่ามาตีความหมายเป็น On/Off หรือ 1/0 เท่านั้นซึ่งสัญญาณดิจิตอลนี้ จะเป็นสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการทำงานและติดต่อสื่อสารกันในทางปฏิบัติ จะสามารถใช้เครื่องมือในการแปลงระหว่างสัญญาณ ทั้งสองแบบได้ เพื่อช่วยให้สามารถส่งสัญญาณดิจิตอลผ่านสัญญาณพาหะที่เป็นอนาล็อก เช่น สายโทรศัพท์หรือคลื่นวิทยุ การแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอนาล็อก จะเรียกว่า โมดูเลชั่น (Modulation) เช่น การแปลงสัญญาณแบบ Amplitude modulation (AM) และ Frequency Modulation (FM) เป็นต้น ส่วนการแปลงสัญญาณ แบบอนาล็อกเป็นดิจิตอล จะเรียกว่า ดีโมดูเลชั่น (Demodulation) ตัวอย่างของเครื่องมือการแปลง เช่น MODEM(MOdulation DEModulation) นั้นเอง
ชนิดของการส่งผ่านข้อมูล (Transmission Type)
การส่งข้อมูลแบบขนาน (Parallel Transmission)
ข้อมูลในรูปแบบในรูปแบบไบนารีจะประกอบไปด้วยค่า 0 และ 1 ที่เรียกว่า บิต ครั้นเมื่อมีการนำบิตหลายๆ บิตมารวมกันเป็นกลุ่มจำนวน n บิต และสามารถส่ง n บิตเหล่านั้นไปพร้อมๆกันในหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา จะเรียกว่าการส่งข้อมูลแบบขนานกลไกการส่งข้อมูลแบบขนานนั้น แต่ละบิตจะถูกส่งไปยังแต่ละช่อง (Chanel)ขนานกันไป
เป็นวิธีการส่งข้อมูลแบบขนานที่มีกลุ่มบิตจำนวน 8 บิต จะพบว่าแต่ละบิตจะมีสายสื่อสารเป็นของตนเอง และสามารถส่งบิตทั้ง 8 ไปยังผู้รับพร้อมๆกันได้ ตัวอย่างการส่งข้อมูลแบบขนาน เช่น การรับส่งข้อมูลภายในระบบบัสของคอมพิวเตอร์การสั่งคอมพิวเตอร์ส่งงานไปพิมพ์ที่เครื่องพิมพ์ผ่านพอร์ต LPT เป็นต้น
การส่งข้อมูลแบบอนุกรม (Serial Transmission)
วิธีการส่งข้อมูลแบบอนุกรมนั้น สัญญาณข้อมูลจะทยอยส่งไปตามสายสื่อสารเพียงเส้นเดียว ด้วยการส่งทีละบิตในหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา
จะพบว่ากลุ่มของบิตจะทยอยถูกส่งออกมาทีละบิตจากต้นทางไปยังปลายทาง โดยปลายทางจะทำการรวบรวมบิตเพื่อนำไปใช้งานต่อไป
ทิศทางการส่งผ่านข้อมูล
1.การส่งข้อมูลทิศทางเดียว
การสื่อสารข้อมูลทางเดียว (simplea transmission) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีผู้ส่งข้อมูลทำหน้าที่ส่งแต่เพียงผู้เดียวและผู้รับทำหน้าที่รับข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียว ตลอดการทำการสื่อสารข้อมูลกันผู้รับจะไม่มีการตอบกลับมายังผู้ส่งเลย การสื่อสารข้อมูลในลักษณะนี้ เช่น การรับฟังวิทยุ การดูโทรทัศน์ การรับข้อมูลจากเพจเจอร์ เป็นต้น
2.การส่งข้อมูลสองทิศทางสลับกัน
การสื่อสารข้อมูลโดยการส่งข้อมูลสองทิศทางสลับกัน (half-duplex transmission) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่ผู้ส่งเเละผู้รับทำหน้าที่ผลัดกันส่งและรับ โดยที่ระหว่างฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ส่ง อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องรอให้ผู้ส่งให้เสร็จก่อนถึงจะสามารถส่งกลับได้ นั่นคือ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง จะมีผู้ส่งเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ไม่สามารถส่งโต้ตอบกันได้ในเวลาเดียวกัน จึงเป็นการผลัดการส่งและรับข้อมูล เช่น การใช้วิทยุสื่อสาร เป็นต้น
3.การส่งข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน การสื่อสารข้อมูลโดยการส่งข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน (full-duplex transmission) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่ทั้งผู้ส่งและผู้รับสามารถเป้นผู้ส่งและผู้รับพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน นั่นคือ ระหว่างอีกฝ่ายหนึ่งทำการส่งข้อมูลอยู่ อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถส่งข้อมูลตอบกลับมาได้เลยโดย ไม่ต้องรอให้ส่งข้อมูลหมดก่อน เช่น การคุยโทรศัพท์ และการสนทนาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น